"ดอกเบี้ยทบต้นทบดอกคือสิ่งที่มีพลังมากที่สุดในจักรวาล"
คือสิ่งที่คนเค้าบอกว่าไอน์สไตน์ได้กล่าวไว้ แต่สิ่งที่ผมเรียนรู้จากประสบการณ์คือดอกเบี้ยเปนศัตรูที่ร้ายกาจเมื่อตอนเปนหนี้ แต่ก้อเปนเครื่องมือที่ทรงพลังเมื่อเราลงทุน
ต่อจากตอนที่แล้ว
http://pantip.com/topic/32596975 หลังจากปลดหนี้และเก็บเงินไว้เป็นเงินเก็บสำรองฉุกเฉินเรียบร้อยแล้ว ผมก้อสามารถเอารายได้มาลงทุนได้อย่างเต็มที่ครับ ยอดแต่ละเดือนที่เคยไปเปนดอกเบี้ยให้คนอื่น (ผ่อนรถ ผ่อนบัตรเครดิต) พอเอามาลงทุนมันก้อมีแต่พอกพูนขึ้นครับ สิ่งที่สำคัญเลยคือการที่เราไม่มีหนี้ มัน "เปิดโอกาศ" ให้อะไรมากมายครับ
ผมเองหลังจากจ่ายยอดจองคอนโดใหม่และผ่อนดาวน์หมด ผมก้อเก็บเงินค่าโอน ค่าตกแต่งได้ครบ แต่ตอนนั้นคอนโดยังไม่พร้อมโอนเพราะงานก่อสร้างล่าช้า ผมลองเชกราคาดูปรากฏว่าราคาที่เค้าขายดาวน์กันมันขึ้นไปสูงมากครับ (ตอนนั้นคอนโดกำลังบูม) ตอนนั้นสองจิตสองใจว่าจะเอาไงดี ก้อพอดีว่าคอนโดอีกโครงการมาเปิดตรงข้ามกับที่ทำงานเป๊ะ โลเคชั่นดีมากๆ ดีกว่าอันที่รอโอนอยู่อีก และขยับขึ้นไปเป็นคอนโดอีกระดับนึงเลย (เทียบจากราคาต่อ ตรม.) ก้อเลยตัดสินใจขายดาวน์คอนโดที่รอโอนอยู่ไปครับ ประกาศขายเองทางเนทไม่ได้ผ่านนายหน้าอะไร กำไรที่ได้อันนั้นเป็นร้อยเปอร์เซนต์เลยคิดจากยอดที่จ่ายไปเพื่อจองและผ่อนดาวน์ เงินที่ขายได้ก้อเอาไปจองกะผ่อนดาวน์คอนโด #3 ต่อ
แต่คอนโด #3 นี่กะอยู่เองครับ ผ่อนดาวน์ไปเรื่อยๆ เงินขายดาวน์จากคอนโด #2 ที่เหลือก้อเอาไปปิดยอดคอนโดเก่า ทำให้รายเดือนเหลือแค่ยอดผ่อนดาวน์คอนโด #3 อย่างเดียว คอนโด #3 สร้างเสร็จก้อโอนโดยกู้เงินธนาคาร (เป็นหนี้ที่มีอยู่แค่ยอดเดียว ณ ตอนนั้น) พอย้ายไปอยู่คอนโดใหม่ก้อปรับปรุงคอนโดเก่าที่อยู่เดิมแล้วขายครับ ราคาขายเทียบกับตอนซื้อไม่ได้กำไรอะไรมากมาย แต่ถือว่าดีกว่าเช่า เงินที่ขายได้อันนั้นผมให้แม่ทั้งหมดเลย ถือว่าคืนเงินดาวน์บวกดอกเบี้ยสำหรับเวลาที่แม่เอาเงินมาลงไว้ตรงนี้ เงินไม่มากมายนักแต่ผมรู้สึกดีมากๆครับ
มาอยู่คอนโดใหม่ได้ไม่นานปรากฏว่าผมต้องย้ายที่ทำงานชั่วคราว (บริษัทเดิมแต่เปลี่ยนสถานทีทำงานชั่วคราว) ก้อเลยปล่อยคอนโดให้เช่า (ค่าเช่าได้มากกว่าดอกเบี้ยที่จ่ายให้ธนาคารต่อเดือน) เอาดอกเบี้ยไปลดหย่อนภาษีได้ด้วยเลยเท่ากับแทบไม้ต้องจ่ายค่าผ่อนเองเลย ครบห้าปีปุ๊บผมขายต่อทันทีครับ อันนี้เมื่อไม่นานนี้เอง ขายต่อได้ราคาดีด้วย (เริ่มโครงการรถไฟฟ้ามาใกล้แยกนั้นพอดี) สรุปดีลนี้ได้กำไรจากทั้งส่วนต่างราคาและค่าเช่า
ประเด็นที่อยากจะบอกคือการที่เราไม่มีหนี้และมีเงินเก็บ เราจะเปิดโอกาศให้กับอะไรๆ อีกเยอะครับ ถ้าตอนนั้นผมไม่ลงมือเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินและเริ่มทำการวางแผนการเงิน ผมก้อคงต้องปล่อยโอกาศทำกำไรตรงนี้ให้หลุดลอยไป มันจะน่าเจ็บใจมากครับถ้าเราเหนโอกาศอยู่แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะหนี้มันถ่วงไว้
อย่างผมเองไม่ได้ผู้เชี่ยวชาญอะไรทางด้านอสังหา แต่ก้อสามารถเข้าไปทำกำไรได้เมื่อโอกาศดีๆ มันผ่านมา ก้อเพราะไม่มีหนี้มาถ่วงและมีเงินเก็บนีแหละ
พอไม่มีหนี้ (ยกเว้นหนี้คอนโดใหม่) และมีเงินค่าเช่าที่ได้จากการปล่อยคอนโดให้เช่า ผมก้อมุ่งเน้นไปที่การลงทุนครับ เงินรายได้จากงานประจำของเรานี่แหละที่เป็นแหล่งเงินทุนที่แข็งแรงที่สุดในการลงทุน ตอนนี้สมการของผมเปลี่ยนไปแล้วครับ มันกลายเปน รายได้ - (เงินออม + เงินลงทุน) = รายจ่ายครับ เงินเดือนออกก้อหักส่วนที่เปนเงินออมกับเงินลงทุนออกไปก่อนเลย เหลือเท่าไหร่ใช้เท่านั้นครับ
พอเราปล่อยให้เงินลงทุนของเราเติบโตไปโดยไม่ไปยุ่งกับส่วนที่เปนกำไรและเงินต้น และค่อยสะสมเพิ่มพูนเงินลงทุนจากรายได้ประจำของเราอย่างต่อเนื่อง เงินตรงนั้นมันจะเพิ่มพูนแบบทวีคูณครับ ยิ่งผ่านไปนานกำไรมันยิ่งเพิ่ม
วิธีที่ผมทำนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไร ไม่ใช่ทางลัด และต้องใช้เวลาและความอดทน มีหลายครั้งที่ผมเกิดสงสัยว่ามันเปนสิ่งที่ถูกรึเปล่า ควรทำจริงรึเปล่า แต่ผมก้อไม่ล้มเลิกเพราะมองอยู่ที่เป้าหมายเสมอ จากประสบการณ์ผมเองก้อต้องใช้เวลาอยู่หกเจ็ดปีกว่าสิ่งที่เราลงทุนลงแรงลงไปจะเริ่มออกดอกออกผลอย่างเห็นความแตกต่างได้ชัดเจน และเมื่อมองย้อนกลับไปผมบอกได้เลยว่ามันคุ้มค่ามากครับ สิ่งเดียวที่ผมเสียใจคือผมน่าจะคิดได้เร็วกว่านั้น
ปัจจุบันผมลงทุนส่วนใหญ่ในหุ้นครับ ความจริงผมเปิดพอร์ตหุ้นตั้งแต่เรียนจบเริ่มทำงานใหม่ๆ แล้ว ตอนนั้นเข้าไปในตลาดเพื่อหวังรวยง่ายรวยเร็วครับ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันแต่คนที่เข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นใหม่ๆเนี่ยมักจะได้กำไรเสมอ แรกๆ เงินไม่มาก ซื้อตามเพื่อนบอก (เพื่อนบอกว่ามาร์บอกหลังจากมาร์ได้ยินมาจากเซียนอีกที) ทำไมไม่รู้เหมือนกัน แต่แป๊บเดียวได้กำไรหลายเปอร์เซนต์เลย เราเลยคิดว่ามันเปนวิธีที่ถูกต้อง ขายเอาเงินออกมาแล้วเอาเงินไปใช้ (ใช้มากกว่ากำไรที่ฟลุ้กได้มาซะอีก) แล้วก้อหาเงินมาทำแบบเดิมเพิ่มอีก แต่หลังๆเจ๊งไม่เปนท่า แถมเงินต้นมากกว่ารอบแรกๆ ตั้งเยอะ ก้อเลยขยาดครับ
เคยลองซื้อกองทุนหุ้น ซื้อโดยใช้ความรู้สึก! โดยเข้าซื้อตอนที่หุ้นมันตกมาหลายๆวัน ซื้อแล้วก้อนั่งดูหน้าจอทั้งวัน (เหมือนมีหน้า settrade เปน background จอคอม) สุดท้ายมีเรื่องต้องใช้เงินเลยต้องขายกองทุนตอนหุ้นตกเจ๊งไปอีกรอบ (อันนี้เคยแชร์ไปแล้วเมื่อตอนที่แล้ว)
หลังจากนั้นเลยเริ่มศึกษาอย่างจริงจังครับ มีอะไรอ่านหมด แนวเทคนิคอล แนววีไอ แนวหุ้นปั่น ถามจากคนที่มีประสบการณ์มีความรู้ ลองผิดลองถูกจากเงินก้อนเล็กๆ ก่อน อะไรที่ดีที่ได้ผลก้อจำไว้ ระหว่างนั้นก้อเก็บเงินไว้เรื่อยๆ เปนเงินทุน ประสบการณ์มากขึ้น ความรู้มากขึ้นก้อค่อยๆเพิ่มเงินทุนเข้าไป ปัจจุบันโดยส่วนตัวคิดว่าพอเอาตัวรอดได้ครับ ปีนี้ตลาดหุ้นดีก้อกำไรมากหน่อย (ไม่รู้ปลายปีจะเปนยังไงเหมือนกัน) การที่เราปล่อยให้เงินลงทุนพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ไม่ไปเอาเงินกำไรออกมา แต่ปล่อยให้ทบต้นไปเรื่อยๆเนี่ย มันทำให้เงินลงทุนเราเติบโตขึ้นเร็วจริงๆนะครับ ยิ่งปล่อยไว้นานผลตรงนี้มันยิ่งทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ เงินที่ได้มาจากการขายคอนโดผมก้อเอามาลงทุนต่อครับ ไม่ได้เอาออกไปไหน
สำหรับเรื่องลงทุนผมคงไม่มีความสามารถพอที่จะมาแนะนำอะไรในรายละเอียดได้ครับ แต่ละคนคงมีความรู้ความถนัดต่างกัน ผมเองแค่ระดับพอเอาตัวรอดได้ครับ แต่เรื่องที่ผมรู้ มั่นใจ และอยากจะแนะนำเรื่องลงทุนคือ
- การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนในความรู้ให้กับตัวเราเอง
- เงินลงทุนต้องเปนเงินเย็นแล้วจะมีโอกาศจะได้กำไรมากกว่าเยอะ ประเภทที่บอกว่ามีเงินเย็นล้านนึงอยากลงทุนสองปีนี่ไม่เรียกว่าเงินเย็นนะครับ เงินเย็นคือเงินที่เราเอามาลงทุนแล้วไม่มีความจำเปนต้องถอนทุนไปใช้ในอีกเปนสิบๆปีข้างหน้า จำนวนเท่าไหร่ไม่สำคัญ ทยอยเพิ่มได้ วางแผนให้ดีว่าค่าใช้จ่ายเราเปนเท่าไหร่ จะมีการใช้เงินก้อนซื้ออะไร เมื่อไหร่ และเท่าไหร่ในอนาคต แล้วเก็บเงินส่วนนั้นไว้ต่างหาก เงินเย็นคือเงินนอกเหนือจากส่วนนี้ (ส่วนนอกเหนือจากค่าใช้จ่าย + เงินก้อนที่เก็บไว้เพื่อใช้ในอนาคตอันใกล้)
- การที่เราวางแผนค่าใช้จ่าย และการมีเงินสำรองฉุกเฉิน 3 - 6 เดือนไว้ต่างหาก จะทำให้เงินทีเราเอามาลงทุนเปนเงินเย็นอย่างแท้จริง ทำให้เราไม่ต้องเข้าไปแตะเงินส่วนที่เปนการลงทุนนี้ เมื่อลงทุนได้กำไรก้อเอาไปลงทุนต่อ (reinvest) มันจะทำให้ผลกำไรและขนาดพอร์ตเติบโตขึ้นเร็ว ใช้ดอกเบี้ยทบต้นเปนอุปกรณ์ของเรา
- คนที่ปลอดหนี้จะมีความสามารถในการเข้าไปทำกำไรในโอกาศดีๆที่ผ่านเข้ามาได้มากกว่าคนที่มีภาระหนี้
ขอสรุปแนวคิดและวิธีปฎิบัติทิ้งท้ายนะครับ
- ทำ budget สำหรับทุกเดือน
- รายได้ - (เงินออม + เงินลงทุน) = รายจ่ายครับ เงินเดือนออกก้อโอนยอดที่จะเก็บและลงทุนออกไปก่อนเลย ตอนแรกถ้ามีหนี้ก้อหักเงินออกไปใช้หนี้ก่อนที่จะเริ่มลงทุน
- รีบใช้หนี้ที่มีอยู่ให้หมด โดยเฉพาะบัตรเครดิต ลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ ปลดหนี้ทั้งหมดให้ได้เพื่อโอกาศดีๆ ที่อาจผ่านเข้ามา
- อย่าไปแคร์ครับว่าคนอื่นคิดอะไรกับเรา สุดท้ายแล้วเงินเราก้อเปนของเรา ถ้าตัดสินใจจะเป็นหนี้ หนี้นั้นก้อเปนของเรา
- ตั้งเป้าหมายให้แน่นอนแล้วลงมือทำเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายนั้น
- อย่าเปนหนี้เพื่อการใช้จ่ายและของใช้ส่วนตัวอีก โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิต เลิกใช้ไปได้เลยยิ่งดี
- เมื่อปลดหนี้หมดแล้วให้เก็บเงินไว้เป็นเงินฉุกเฉินครอบคลุมรายจ่าย 3-6 เดือน เก็บตรงนี้ให้ได้ก่อนค่อยคิดจะลงทุน
- เอาเงินเย็นมาลงทุน แล้วปล่อยให้ผลกำไรทบต้นอยู่อย่างนั้น ทำให้ดอกเบี้ยทบต้นเป็นเครื่องมือของเรา ไม่ใช่ศัตรูของเรา reinvest กำไรต่อไปเรื่อยๆ ให้มันทบต้นทบดอก ผลกำไรจะยิ่งทวีคูณ
ฝรั่งมีคำกล่าวว่า "You reap what you sow" แปลว่าสิ่งที่คุณเก็บเกี่ยวขึ้นมา ก้อคือสิ่งที่คุณหว่านลงไปนะแหละ อยากได้อะไรก้อจงทำอันนั้น ซึ่งจากประสบการณ์ของผม มันเป็นคำพูดที่เป็นความจริงมากๆครับ เราอดทนเก็บออมและอดทนลงทุนลงแรง เมื่อเวลาผ่านไปเราก้อจะได้เก็บเกี่ยวผลตอนแทนอย่างที่เราอยากได้ และเมื่อเราเริ่มเห็นผลตอนแทนนี่แหละ เราจะรู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับทีทำมาทุกอย่างจริงๆ
ผมไม่ได้มีความคิดว่าเราไม่ควรใช้ของฟุ่มเฟือยอะไรในชีวิตเลย หรือเงินที่หาได้ควรจะเก็บไว้อย่างเดียวโดยไม่ใช้หรือไม่แบ่งปันให้ใครเลยนะครับ แต่สิ่งที่ผมอยากจะสื่อคือเราต้องอยู่กับความเปนจริง รู้ตัวเราเองว่าฐานะเราเปนอย่างไร รู้โดยไม่หลอกตัวเองว่าอะไรคือการใช้จ่ายที่เกินฐานะเรา รู้จักอดเปรี้ยวไว้กินหวาน รู้จักรอที่จะซื้อของที่เราอยากได้เมื่อฐานะทางการเงินเราพร้อมจริงๆ ให้กับตัวเองและให้กับคนที่เรารักอย่างสมเหตุสมผลโดยตั้งอยู่กับฐานะของเราตามจริง และวางแผนทางการเงินเพื่อความสำเร็จในระยะยาวจากนั้นลงมือทำตามแผนนั้น อย่าโกงหรือหลอกตัวเอง เพราะในท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเราประสบความสำเร็จจริงๆ เราจะได้ของพวกนั้นมาเป็นรางวัลชีวิตอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ได้ภาระหนี้เพิ่มมาอีกก้อนนึง
ปัจจุบันนี้ผมมีพอร์ตการลงทุนขนาดพอที่จะใช้กำไรจากพอร์ตโคเวอร์ค่าใช้จ่ายประจำสำหรับครอบครัวทั้งหมดได้โดยไม่ฟุ้งเฟ้อ (ส่วนใหญ่อยู่ในหุ้นและกองทุน และมีคอนโดที่ปล่อยเช่าอยู่อีกที่) มีเงินเก็บฉุกเฉินที่จะโคเวอร์รายจ่ายประจำรวมถึงค่างวดที่ต้องผ่อนส่งรายเดือนได้ 5-6 เดือน ซื้อรถมาใช้ได้โดยใช้เงินสด (ราคารถมือสองตอนนี้ถูกมาก รถอายุ 3 - 4 ปีสภาพดีๆมีขายอยู่เยอะครับ ราคาถูกลง 40% - 50% เทียบกับรถใหม่) หนี้ที่มีอยู่ก้อนเดียวคือเงินกู้สำหรับคอนโดที่ปล่อยให้เช่าอยู่ (เหมือนเดิมครับ ค่าเช่ามากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องส่งรายเดือน) และยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานประจำเพื่อเอารายได้มาเพิ่มพูนพอร์ตการลงทุนของเราอยู่ มีความสุขดีในการทำงานประจำครับ ในปัจจุบันก้อยังคงใช้วิธีบริหารการเงินส่วนบุคคลเหมือนที่กล่าวไว้ข้างต้นอยู่เหมือนเดิมครับ
ส่วนตัวผมยังไม่คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จนะครับ แต่คิดว่าพ้นระยะตั้งไข่ สามารถเดินต่อได้ด้วยตัวของตัวเอง เลยอยากจะเอาประสบการณ์ที่ผ่านมามาแชร์ โดยเฉพาะกับเด็กๆรุ่นใหม่ วัยที่เริ่มหรือกำลังจะเริ่มทำงาน หวังว่าเรื่องจากประสบการณ์ของผมจะพอมีประโยชน์อยู่บ้างนะครับ ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญดังนั้นถ้ามีข้อผิดพลาดหรือไม่เหนด้วยอะไรก้อบอกได้ครับ แล้วก้ออย่าลืมว่าสถานการณ์และความถนัดของคนเราต่างกัน ดังนั้นตัวเราต้องหาวิธีที่ดีที่สุดด้วยตนเองครับ แต่อยากจะบอกว่าจากประสบการณ์ของผม การเก็บเงินและบริหารการเงินไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรเลยครับ เรารู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไร อยู่ที่ตัวเราเองว่าจะทำได้รึเปล่า มันเป็นเรื่องของใจมากกว่าครับ ยากสุดคือตอนเริ่มนี่แหละครับ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ
มาขอแชร์ประสบการณ์การเก็บเงินและการวางแผนการเงินครับ (ตอนสุดท้าย)
คือสิ่งที่คนเค้าบอกว่าไอน์สไตน์ได้กล่าวไว้ แต่สิ่งที่ผมเรียนรู้จากประสบการณ์คือดอกเบี้ยเปนศัตรูที่ร้ายกาจเมื่อตอนเปนหนี้ แต่ก้อเปนเครื่องมือที่ทรงพลังเมื่อเราลงทุน
ต่อจากตอนที่แล้ว http://pantip.com/topic/32596975 หลังจากปลดหนี้และเก็บเงินไว้เป็นเงินเก็บสำรองฉุกเฉินเรียบร้อยแล้ว ผมก้อสามารถเอารายได้มาลงทุนได้อย่างเต็มที่ครับ ยอดแต่ละเดือนที่เคยไปเปนดอกเบี้ยให้คนอื่น (ผ่อนรถ ผ่อนบัตรเครดิต) พอเอามาลงทุนมันก้อมีแต่พอกพูนขึ้นครับ สิ่งที่สำคัญเลยคือการที่เราไม่มีหนี้ มัน "เปิดโอกาศ" ให้อะไรมากมายครับ
ผมเองหลังจากจ่ายยอดจองคอนโดใหม่และผ่อนดาวน์หมด ผมก้อเก็บเงินค่าโอน ค่าตกแต่งได้ครบ แต่ตอนนั้นคอนโดยังไม่พร้อมโอนเพราะงานก่อสร้างล่าช้า ผมลองเชกราคาดูปรากฏว่าราคาที่เค้าขายดาวน์กันมันขึ้นไปสูงมากครับ (ตอนนั้นคอนโดกำลังบูม) ตอนนั้นสองจิตสองใจว่าจะเอาไงดี ก้อพอดีว่าคอนโดอีกโครงการมาเปิดตรงข้ามกับที่ทำงานเป๊ะ โลเคชั่นดีมากๆ ดีกว่าอันที่รอโอนอยู่อีก และขยับขึ้นไปเป็นคอนโดอีกระดับนึงเลย (เทียบจากราคาต่อ ตรม.) ก้อเลยตัดสินใจขายดาวน์คอนโดที่รอโอนอยู่ไปครับ ประกาศขายเองทางเนทไม่ได้ผ่านนายหน้าอะไร กำไรที่ได้อันนั้นเป็นร้อยเปอร์เซนต์เลยคิดจากยอดที่จ่ายไปเพื่อจองและผ่อนดาวน์ เงินที่ขายได้ก้อเอาไปจองกะผ่อนดาวน์คอนโด #3 ต่อ
แต่คอนโด #3 นี่กะอยู่เองครับ ผ่อนดาวน์ไปเรื่อยๆ เงินขายดาวน์จากคอนโด #2 ที่เหลือก้อเอาไปปิดยอดคอนโดเก่า ทำให้รายเดือนเหลือแค่ยอดผ่อนดาวน์คอนโด #3 อย่างเดียว คอนโด #3 สร้างเสร็จก้อโอนโดยกู้เงินธนาคาร (เป็นหนี้ที่มีอยู่แค่ยอดเดียว ณ ตอนนั้น) พอย้ายไปอยู่คอนโดใหม่ก้อปรับปรุงคอนโดเก่าที่อยู่เดิมแล้วขายครับ ราคาขายเทียบกับตอนซื้อไม่ได้กำไรอะไรมากมาย แต่ถือว่าดีกว่าเช่า เงินที่ขายได้อันนั้นผมให้แม่ทั้งหมดเลย ถือว่าคืนเงินดาวน์บวกดอกเบี้ยสำหรับเวลาที่แม่เอาเงินมาลงไว้ตรงนี้ เงินไม่มากมายนักแต่ผมรู้สึกดีมากๆครับ
มาอยู่คอนโดใหม่ได้ไม่นานปรากฏว่าผมต้องย้ายที่ทำงานชั่วคราว (บริษัทเดิมแต่เปลี่ยนสถานทีทำงานชั่วคราว) ก้อเลยปล่อยคอนโดให้เช่า (ค่าเช่าได้มากกว่าดอกเบี้ยที่จ่ายให้ธนาคารต่อเดือน) เอาดอกเบี้ยไปลดหย่อนภาษีได้ด้วยเลยเท่ากับแทบไม้ต้องจ่ายค่าผ่อนเองเลย ครบห้าปีปุ๊บผมขายต่อทันทีครับ อันนี้เมื่อไม่นานนี้เอง ขายต่อได้ราคาดีด้วย (เริ่มโครงการรถไฟฟ้ามาใกล้แยกนั้นพอดี) สรุปดีลนี้ได้กำไรจากทั้งส่วนต่างราคาและค่าเช่า
ประเด็นที่อยากจะบอกคือการที่เราไม่มีหนี้และมีเงินเก็บ เราจะเปิดโอกาศให้กับอะไรๆ อีกเยอะครับ ถ้าตอนนั้นผมไม่ลงมือเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินและเริ่มทำการวางแผนการเงิน ผมก้อคงต้องปล่อยโอกาศทำกำไรตรงนี้ให้หลุดลอยไป มันจะน่าเจ็บใจมากครับถ้าเราเหนโอกาศอยู่แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะหนี้มันถ่วงไว้
อย่างผมเองไม่ได้ผู้เชี่ยวชาญอะไรทางด้านอสังหา แต่ก้อสามารถเข้าไปทำกำไรได้เมื่อโอกาศดีๆ มันผ่านมา ก้อเพราะไม่มีหนี้มาถ่วงและมีเงินเก็บนีแหละ
พอไม่มีหนี้ (ยกเว้นหนี้คอนโดใหม่) และมีเงินค่าเช่าที่ได้จากการปล่อยคอนโดให้เช่า ผมก้อมุ่งเน้นไปที่การลงทุนครับ เงินรายได้จากงานประจำของเรานี่แหละที่เป็นแหล่งเงินทุนที่แข็งแรงที่สุดในการลงทุน ตอนนี้สมการของผมเปลี่ยนไปแล้วครับ มันกลายเปน รายได้ - (เงินออม + เงินลงทุน) = รายจ่ายครับ เงินเดือนออกก้อหักส่วนที่เปนเงินออมกับเงินลงทุนออกไปก่อนเลย เหลือเท่าไหร่ใช้เท่านั้นครับ
พอเราปล่อยให้เงินลงทุนของเราเติบโตไปโดยไม่ไปยุ่งกับส่วนที่เปนกำไรและเงินต้น และค่อยสะสมเพิ่มพูนเงินลงทุนจากรายได้ประจำของเราอย่างต่อเนื่อง เงินตรงนั้นมันจะเพิ่มพูนแบบทวีคูณครับ ยิ่งผ่านไปนานกำไรมันยิ่งเพิ่ม
วิธีที่ผมทำนี้ไม่ได้ซับซ้อนอะไร ไม่ใช่ทางลัด และต้องใช้เวลาและความอดทน มีหลายครั้งที่ผมเกิดสงสัยว่ามันเปนสิ่งที่ถูกรึเปล่า ควรทำจริงรึเปล่า แต่ผมก้อไม่ล้มเลิกเพราะมองอยู่ที่เป้าหมายเสมอ จากประสบการณ์ผมเองก้อต้องใช้เวลาอยู่หกเจ็ดปีกว่าสิ่งที่เราลงทุนลงแรงลงไปจะเริ่มออกดอกออกผลอย่างเห็นความแตกต่างได้ชัดเจน และเมื่อมองย้อนกลับไปผมบอกได้เลยว่ามันคุ้มค่ามากครับ สิ่งเดียวที่ผมเสียใจคือผมน่าจะคิดได้เร็วกว่านั้น
ปัจจุบันผมลงทุนส่วนใหญ่ในหุ้นครับ ความจริงผมเปิดพอร์ตหุ้นตั้งแต่เรียนจบเริ่มทำงานใหม่ๆ แล้ว ตอนนั้นเข้าไปในตลาดเพื่อหวังรวยง่ายรวยเร็วครับ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันแต่คนที่เข้ามาซื้อขายในตลาดหุ้นใหม่ๆเนี่ยมักจะได้กำไรเสมอ แรกๆ เงินไม่มาก ซื้อตามเพื่อนบอก (เพื่อนบอกว่ามาร์บอกหลังจากมาร์ได้ยินมาจากเซียนอีกที) ทำไมไม่รู้เหมือนกัน แต่แป๊บเดียวได้กำไรหลายเปอร์เซนต์เลย เราเลยคิดว่ามันเปนวิธีที่ถูกต้อง ขายเอาเงินออกมาแล้วเอาเงินไปใช้ (ใช้มากกว่ากำไรที่ฟลุ้กได้มาซะอีก) แล้วก้อหาเงินมาทำแบบเดิมเพิ่มอีก แต่หลังๆเจ๊งไม่เปนท่า แถมเงินต้นมากกว่ารอบแรกๆ ตั้งเยอะ ก้อเลยขยาดครับ
เคยลองซื้อกองทุนหุ้น ซื้อโดยใช้ความรู้สึก! โดยเข้าซื้อตอนที่หุ้นมันตกมาหลายๆวัน ซื้อแล้วก้อนั่งดูหน้าจอทั้งวัน (เหมือนมีหน้า settrade เปน background จอคอม) สุดท้ายมีเรื่องต้องใช้เงินเลยต้องขายกองทุนตอนหุ้นตกเจ๊งไปอีกรอบ (อันนี้เคยแชร์ไปแล้วเมื่อตอนที่แล้ว)
หลังจากนั้นเลยเริ่มศึกษาอย่างจริงจังครับ มีอะไรอ่านหมด แนวเทคนิคอล แนววีไอ แนวหุ้นปั่น ถามจากคนที่มีประสบการณ์มีความรู้ ลองผิดลองถูกจากเงินก้อนเล็กๆ ก่อน อะไรที่ดีที่ได้ผลก้อจำไว้ ระหว่างนั้นก้อเก็บเงินไว้เรื่อยๆ เปนเงินทุน ประสบการณ์มากขึ้น ความรู้มากขึ้นก้อค่อยๆเพิ่มเงินทุนเข้าไป ปัจจุบันโดยส่วนตัวคิดว่าพอเอาตัวรอดได้ครับ ปีนี้ตลาดหุ้นดีก้อกำไรมากหน่อย (ไม่รู้ปลายปีจะเปนยังไงเหมือนกัน) การที่เราปล่อยให้เงินลงทุนพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ ไม่ไปเอาเงินกำไรออกมา แต่ปล่อยให้ทบต้นไปเรื่อยๆเนี่ย มันทำให้เงินลงทุนเราเติบโตขึ้นเร็วจริงๆนะครับ ยิ่งปล่อยไว้นานผลตรงนี้มันยิ่งทวีคูณมากขึ้นเรื่อยๆ เงินที่ได้มาจากการขายคอนโดผมก้อเอามาลงทุนต่อครับ ไม่ได้เอาออกไปไหน
สำหรับเรื่องลงทุนผมคงไม่มีความสามารถพอที่จะมาแนะนำอะไรในรายละเอียดได้ครับ แต่ละคนคงมีความรู้ความถนัดต่างกัน ผมเองแค่ระดับพอเอาตัวรอดได้ครับ แต่เรื่องที่ผมรู้ มั่นใจ และอยากจะแนะนำเรื่องลงทุนคือ
- การลงทุนที่ดีที่สุดคือการลงทุนในความรู้ให้กับตัวเราเอง
- เงินลงทุนต้องเปนเงินเย็นแล้วจะมีโอกาศจะได้กำไรมากกว่าเยอะ ประเภทที่บอกว่ามีเงินเย็นล้านนึงอยากลงทุนสองปีนี่ไม่เรียกว่าเงินเย็นนะครับ เงินเย็นคือเงินที่เราเอามาลงทุนแล้วไม่มีความจำเปนต้องถอนทุนไปใช้ในอีกเปนสิบๆปีข้างหน้า จำนวนเท่าไหร่ไม่สำคัญ ทยอยเพิ่มได้ วางแผนให้ดีว่าค่าใช้จ่ายเราเปนเท่าไหร่ จะมีการใช้เงินก้อนซื้ออะไร เมื่อไหร่ และเท่าไหร่ในอนาคต แล้วเก็บเงินส่วนนั้นไว้ต่างหาก เงินเย็นคือเงินนอกเหนือจากส่วนนี้ (ส่วนนอกเหนือจากค่าใช้จ่าย + เงินก้อนที่เก็บไว้เพื่อใช้ในอนาคตอันใกล้)
- การที่เราวางแผนค่าใช้จ่าย และการมีเงินสำรองฉุกเฉิน 3 - 6 เดือนไว้ต่างหาก จะทำให้เงินทีเราเอามาลงทุนเปนเงินเย็นอย่างแท้จริง ทำให้เราไม่ต้องเข้าไปแตะเงินส่วนที่เปนการลงทุนนี้ เมื่อลงทุนได้กำไรก้อเอาไปลงทุนต่อ (reinvest) มันจะทำให้ผลกำไรและขนาดพอร์ตเติบโตขึ้นเร็ว ใช้ดอกเบี้ยทบต้นเปนอุปกรณ์ของเรา
- คนที่ปลอดหนี้จะมีความสามารถในการเข้าไปทำกำไรในโอกาศดีๆที่ผ่านเข้ามาได้มากกว่าคนที่มีภาระหนี้
ขอสรุปแนวคิดและวิธีปฎิบัติทิ้งท้ายนะครับ
- ทำ budget สำหรับทุกเดือน
- รายได้ - (เงินออม + เงินลงทุน) = รายจ่ายครับ เงินเดือนออกก้อโอนยอดที่จะเก็บและลงทุนออกไปก่อนเลย ตอนแรกถ้ามีหนี้ก้อหักเงินออกไปใช้หนี้ก่อนที่จะเริ่มลงทุน
- รีบใช้หนี้ที่มีอยู่ให้หมด โดยเฉพาะบัตรเครดิต ลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ ปลดหนี้ทั้งหมดให้ได้เพื่อโอกาศดีๆ ที่อาจผ่านเข้ามา
- อย่าไปแคร์ครับว่าคนอื่นคิดอะไรกับเรา สุดท้ายแล้วเงินเราก้อเปนของเรา ถ้าตัดสินใจจะเป็นหนี้ หนี้นั้นก้อเปนของเรา
- ตั้งเป้าหมายให้แน่นอนแล้วลงมือทำเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายนั้น
- อย่าเปนหนี้เพื่อการใช้จ่ายและของใช้ส่วนตัวอีก โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิต เลิกใช้ไปได้เลยยิ่งดี
- เมื่อปลดหนี้หมดแล้วให้เก็บเงินไว้เป็นเงินฉุกเฉินครอบคลุมรายจ่าย 3-6 เดือน เก็บตรงนี้ให้ได้ก่อนค่อยคิดจะลงทุน
- เอาเงินเย็นมาลงทุน แล้วปล่อยให้ผลกำไรทบต้นอยู่อย่างนั้น ทำให้ดอกเบี้ยทบต้นเป็นเครื่องมือของเรา ไม่ใช่ศัตรูของเรา reinvest กำไรต่อไปเรื่อยๆ ให้มันทบต้นทบดอก ผลกำไรจะยิ่งทวีคูณ
ฝรั่งมีคำกล่าวว่า "You reap what you sow" แปลว่าสิ่งที่คุณเก็บเกี่ยวขึ้นมา ก้อคือสิ่งที่คุณหว่านลงไปนะแหละ อยากได้อะไรก้อจงทำอันนั้น ซึ่งจากประสบการณ์ของผม มันเป็นคำพูดที่เป็นความจริงมากๆครับ เราอดทนเก็บออมและอดทนลงทุนลงแรง เมื่อเวลาผ่านไปเราก้อจะได้เก็บเกี่ยวผลตอนแทนอย่างที่เราอยากได้ และเมื่อเราเริ่มเห็นผลตอนแทนนี่แหละ เราจะรู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับทีทำมาทุกอย่างจริงๆ
ผมไม่ได้มีความคิดว่าเราไม่ควรใช้ของฟุ่มเฟือยอะไรในชีวิตเลย หรือเงินที่หาได้ควรจะเก็บไว้อย่างเดียวโดยไม่ใช้หรือไม่แบ่งปันให้ใครเลยนะครับ แต่สิ่งที่ผมอยากจะสื่อคือเราต้องอยู่กับความเปนจริง รู้ตัวเราเองว่าฐานะเราเปนอย่างไร รู้โดยไม่หลอกตัวเองว่าอะไรคือการใช้จ่ายที่เกินฐานะเรา รู้จักอดเปรี้ยวไว้กินหวาน รู้จักรอที่จะซื้อของที่เราอยากได้เมื่อฐานะทางการเงินเราพร้อมจริงๆ ให้กับตัวเองและให้กับคนที่เรารักอย่างสมเหตุสมผลโดยตั้งอยู่กับฐานะของเราตามจริง และวางแผนทางการเงินเพื่อความสำเร็จในระยะยาวจากนั้นลงมือทำตามแผนนั้น อย่าโกงหรือหลอกตัวเอง เพราะในท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเราประสบความสำเร็จจริงๆ เราจะได้ของพวกนั้นมาเป็นรางวัลชีวิตอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่ได้ภาระหนี้เพิ่มมาอีกก้อนนึง
ปัจจุบันนี้ผมมีพอร์ตการลงทุนขนาดพอที่จะใช้กำไรจากพอร์ตโคเวอร์ค่าใช้จ่ายประจำสำหรับครอบครัวทั้งหมดได้โดยไม่ฟุ้งเฟ้อ (ส่วนใหญ่อยู่ในหุ้นและกองทุน และมีคอนโดที่ปล่อยเช่าอยู่อีกที่) มีเงินเก็บฉุกเฉินที่จะโคเวอร์รายจ่ายประจำรวมถึงค่างวดที่ต้องผ่อนส่งรายเดือนได้ 5-6 เดือน ซื้อรถมาใช้ได้โดยใช้เงินสด (ราคารถมือสองตอนนี้ถูกมาก รถอายุ 3 - 4 ปีสภาพดีๆมีขายอยู่เยอะครับ ราคาถูกลง 40% - 50% เทียบกับรถใหม่) หนี้ที่มีอยู่ก้อนเดียวคือเงินกู้สำหรับคอนโดที่ปล่อยให้เช่าอยู่ (เหมือนเดิมครับ ค่าเช่ามากกว่าดอกเบี้ยที่ต้องส่งรายเดือน) และยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานประจำเพื่อเอารายได้มาเพิ่มพูนพอร์ตการลงทุนของเราอยู่ มีความสุขดีในการทำงานประจำครับ ในปัจจุบันก้อยังคงใช้วิธีบริหารการเงินส่วนบุคคลเหมือนที่กล่าวไว้ข้างต้นอยู่เหมือนเดิมครับ
ส่วนตัวผมยังไม่คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จนะครับ แต่คิดว่าพ้นระยะตั้งไข่ สามารถเดินต่อได้ด้วยตัวของตัวเอง เลยอยากจะเอาประสบการณ์ที่ผ่านมามาแชร์ โดยเฉพาะกับเด็กๆรุ่นใหม่ วัยที่เริ่มหรือกำลังจะเริ่มทำงาน หวังว่าเรื่องจากประสบการณ์ของผมจะพอมีประโยชน์อยู่บ้างนะครับ ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญดังนั้นถ้ามีข้อผิดพลาดหรือไม่เหนด้วยอะไรก้อบอกได้ครับ แล้วก้ออย่าลืมว่าสถานการณ์และความถนัดของคนเราต่างกัน ดังนั้นตัวเราต้องหาวิธีที่ดีที่สุดด้วยตนเองครับ แต่อยากจะบอกว่าจากประสบการณ์ของผม การเก็บเงินและบริหารการเงินไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรเลยครับ เรารู้อยู่แล้วว่าต้องทำอะไร อยู่ที่ตัวเราเองว่าจะทำได้รึเปล่า มันเป็นเรื่องของใจมากกว่าครับ ยากสุดคือตอนเริ่มนี่แหละครับ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ